วันที่สงบสุขในประเทศไทย
ยามเช้าตรู่ เมื่อหมอกยังคงเกาะตามยอดไม้ พุทธศาสนิกชนจากหลายที่ได้มารวมตัวกันที่นี่
วันนี้ พระภิกษุยังคงออกบิณฑบาต เดินไปตามบ้านเรือนของชาวไทยภายใต้แสงอรุณ
พระภิกษุแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม แต่ละกลุ่มเดินไปตามถนนคนละฝั่ง มืออุ้มบาตรอย่างสงบ เดินตามรอยพระพุทธเจ้า


หลังจากบิณฑบาตจากชาวบ้าน พระภิกษุยังได้รับของถวายจากพุทธศาสนิกชนชาวเวียดนาม
เนื่องจากใกล้วันตรุษญวน หลายคนได้นำขนม บั๊ญจึง มาจากเวียดนาม เป็นของขวัญแทนกลิ่นอายของบ้านเกิด
สำหรับพระภิกษุ วันตรุษไม่ใช่สิ่งสำคัญนัก แต่สำหรับพี่น้องในคณะ เมื่อได้เห็น บั๊ญจึง ก็รู้สึกเหมือนวันตรุษได้มาถึง
สีเขียวของใบตองและกลิ่นหอมของข้าวเหนียว ทำให้หัวใจของผู้ที่อยู่ห่างไกลบ้านอบอุ่นขึ้น




วันนี้ คณะเดินทางเดินไปเพียงระยะสั้น ๆ เพราะพระภิกษุต้องใช้เวลาเย็บจีวรให้เสร็จ ก่อนเข้าสู่พื้นที่ภูเขาที่หนาวเย็น
บริเวณนี้อยู่ใกล้แม่น้ำ น้ำใสและเย็น พระภิกษุจึงอาศัยช่วงเวลานี้ซักจีวร อาบน้ำ และปล่อยใจให้สงบในธรรมชาต
ช่วงบ่าย ผมมีโอกาสได้เห็นการสนทนาอย่างเปิดใจกันระหว่างพี่บ๊าวกับพี่ ๆ YouTuber
ดูเหมือนว่าเมื่อเร็ว ๆ นี้ เขาเริ่มมีทัศนคติที่ดีขึ้นต่อพวกเขา
พูดอย่างยุติธรรม ผมเองก็เคยเขียนเกี่ยวกับ YouTuber พวกเขาเป็นส่วนหนึ่งที่ขาดไม่ได้ของคณะ
ทุกชุมชนย่อมมีทั้งคนดีและคนไม่ดี แต่หากเรามองด้วยจิตใจที่เบิกบาน เราจะพบคุณค่าในตัวของทุกคน





วันที่สงบสุขในประเทศไทยทำให้ผมมีเวลาครุ่นคิด
ผมอยากเขียนสิ่งเหล่านี้มานานแล้ว เพราะตั้งแต่ได้รู้จักพระอาจารย์ ผมรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงลึกซึ้งภายในตนเอง
ผมเชื่อว่าไม่ใช่แค่ผมเพียงคนเดียว แต่ยังมีอีกหลายคนที่สัมผัสถึงสิ่งเดียวกัน
ผมอยากแบ่งปันความรู้สึกนี้กับครอบครัวและเพื่อน ๆ แต่ผมเข้าใจว่ามันเป็นเรื่องของวาสนา
ไม่ใช่ทุกคนที่จะเข้าใจสิ่งนี้ และนั่นอาจเป็นเหตุผลว่าทำไมบางคนถึงกล่าววาจาหมิ่นประมาทพระอาจารย์ในโลกออนไลน์
เพราะในท้ายที่สุด ทุกคนต่างเลือกเดินบนเส้นทางของตนเอง
ชีวิตมีเพียงสองทิศทาง: ทิศแห่งความเจริญและทิศแห่งความเสื่อม ทัศนคติเชิงบวกและทัศนคติเชิงลบ
แต่สิ่งสำคัญคือ เรามักไม่รู้ตัวว่าเรากำลังเดินไปในทิศทางใด
เพราะทุกการตัดสินใจของเรา ล้วนมีเหตุผลที่เรามองว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องเสมอ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเงินทอง หน้าที่การงาน ครอบครัว หรือความยุติธรรม
มีเพียงผู้รู้แจ้งเท่านั้น ที่สามารถเปิดดวงตาของเรา และนำทางเราไปสู่เส้นทางที่ถูกต้อง
ผมเคยได้ยินเกี่ยวกับ "ม่านแห่งอวิชชา" มานานแล้ว แต่วันนี้ผมเพิ่งเข้าใจมันจริง ๆ
แม้ว่าผมยังไม่สามารถฉีกทำลายม่านนั้นได้ทั้งหมด
แต่แสงสว่างจากพระอาจารย์ได้ส่องทะลุผ่านรอยแยกเล็ก ๆ ในม่านแห่งอวิชชาของผม
ทำให้ผมเริ่มมองเห็นเส้นทางข้างหน้า
และผมเชื่อว่า หากเป็นเรื่องของวาสนา ใครที่มีวาสนาก็จะสามารถสัมผัสแสงสว่างนี้ได้เช่นกัน...
